หลายๆคนอาจจะกำลังประสบปัญหามีพุง หนักอกหนักใจว่าทั้งๆ ที่เราก็น้ำหนักไม่มาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ทำไมยังไม่มีเอวเอสอย่างใครเขาเสียที ขอให้ลองย้อนกลับมาสังเกตพฤติกรรมในการขับถ่ายของคุณ นี่อาจจะเป็นสาเหตุหลักของอาการพุงป่อง เพียงแค่ปรับระบบขับถ่ายให้กลับมาทำงานได้ดีเป็นปกติ คุณก็จะมีหุ่นสวยได้ไม่ยาก ปัญหาท้องผูกอาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายตัว แถมยังมีปัญหาพุงป่องมากวนใจ แต่นอกจากปัญหาเหล่านี้แล้ว การไม่ขับถ่ายยังเป็นการสะสมสารพิษและของเสียเอาไว้ในร่างกาย หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินว่าหากมีปัญหาการขับถ่ายก็ต้องแก้ด้วยการทานผักผลไม้มากๆ หรือให้ดื่มกาแฟ แล้วเราควรทำอย่างไรกันแน่?
วันนี้เรามาจะพูดถึงสาเหตุและวิธีแก้ปัญหาการขับถ่ายกันค่ะ
แค่ไหนถึงเรียกว่าท้องผูก ?
อาการท้องผูก คือภาวะที่เรามีความถี่ในการขับถ่ายน้อยกว่าปกติ หรือขับถ่ายยาก อาจจะสังเกตได้จากความสม่ำเสมอในการขับถ่าย ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ใช้เวลาในการขับถ่ายเป็นเวลานาน และเมื่อขับถ่ายแล้ว อุจจาระแข็ง เป็นเม็ดเล็ก ถ่ายออกมาน้อยกว่าปกติ
อาการท้องผูกมีได้หลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักๆที่พบได้มากที่สุด ถึง 50% คือการปฏิบัติตัวที่ไม่ถูกวิธี เช่น การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์(fiber)หรือกากใยน้อย ดื่มน้ำน้อย เคลื่อนไหวร่างกายน้อยเช่นนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน ไม่ออกกำลังกาย หรือพฤติกรรมไม่ดีเกี่ยวกับการขับถ่ายเช่น กลั้นอุจจาระบ่อยๆ
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆเช่น การทานยาที่ทำให้ท้องผูก อย่างยารักษาอาการซึมเศร้า หรือเป็นโรคประจำตัวบางชนิดเป็นโรคเบาหวาน หรืออีกกรณีก็คือ การทำงานของลำไส้ใหญ่ผิดปกติที่เรียกกันว่าภาวะลำไส้เฉื่อย ซึ่งพบได้น้อยมาก
ไม่ขับถ่ายเป็นเวลานาน ส่งผลเสียต่อร่างกาย!
เมื่อเราไม่ขับถ่ายเป็นเวลานานย่อมหมายความว่าเรากำลังกักเก็บของเสียเอาไว้ในร่างกาย นอกจากความรู้สึกไม่สบายตัวและพุงป่องแล้ว ก็ยังส่งผลเสียอย่างอื่นๆ อีกมากมาย
- ท้องผูก แน่นอนว่าเมื่อเราไม่ได้ขับถ่ายเป็นเวลานาน อุจจาระก็จะตกค้างอยู่ภายในลำไส้ ยิ่งนานก็จะยิ่งสะสม ทำให้อุจจาระแห้ง แข็ง ยิ่งขับถ่ายยากขึ้น
- น้ำหนักขึ้น แน่นอนว่าเมื่อมีอุจจาระตกค้างอยู่ในร่างกาย ก็ย่อมเพิ่มน้ำหนักตัว ซึ่งร่างกายของคนเราสามารถสะสมของเสียในลำไส้ได้มากถึง 10 กิโลกรัมเลยทีเดียว
- เป็นสิว อาการท้องผูกทำให้ของเสียสะสม ซึ่งลำไส้จะดูดซึมสารพิษหรือของเสียกลับคืนสู่ร่างกาย เมื่อของเสียเข้าสู่เลือดก็จะกระจายขับออกจากช่องทางอื่นอย่างผิวหนัง ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิว นอกจากนี้เมื่อท้องผูกก็มักจะเกิดความเครียด ซึ่งทำให้เกิดสิว
- มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว เช่นเดียวกับสิว เมื่อของเสียถูกดูดซึมไปยังเลือดก็จะแพร่ไปทั่วร่างกาย ไปสู่ปอดและผิวหนังทำให้เรามีกลิ่นปากและกลิ่นตัว
- เสี่ยงต่อโรคผนังลำไส้อักเสบ ผนังลำไส้จะต้องรับน้ำหนักของอุจจาระที่แข็งตัวขึ้น ทำให้เกิดการโป่งพองและอาจเกิดการสะสมของเชื้อโรค นำไปสู่การติดเชื้อ เกิดเลือดออกในลำไส้ หรือนำไปสู่มะเร็งลำไส้ในที่สุด
กินอะไรดีเพื่อแก้ปัญหาการขับถ่าย?
ไฟเบอร์(Fiber) หรือ ใยอาหาร มีอีกชื่อหนึ่งว่า เซลลูโลส เป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยสลายเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานได้ แต่จะถูกขับออกมาจากร่างกาย ไฟเบอร์มีสองชนิดคือชนิดที่ละลายในน้ำ และชนิดที่ไม่ละลายในน้ำ ซึ่งชนิดที่ไม่ละลายในน้ำนี่เองที่จะช่วยดูดซับน้ำ พองตัวเหมือนกับฟองน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้อุจจาระมีความอ่อนนุ่ม ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น เป็นตัวช่วยแก้ปัญหาชั้นดีสำหรับคนที่ประสบปัญหาตัวบวมพุงป่องเนื่องจากไม่ขับถ่าย เพียงเติมไฟเบอร์เข้าร่างกาย ก็เพรียวได้ไม่ต้องใช้ยาลดน้ำหนัก
นอกจากช่วยเรื่องการขับถ่าย ไฟเบอร์ยังช่วยลดน้ำหนัก เนื่องจากทำให้เราทานน้อยลง เพราะไฟเบอร์ส่วนที่ละลายน้ำได้ จะทำหน้าที่กลายเป็นเจลเหนียวเคลือบในกระเพาะ ทำให้เรารู้สึกอิ่ม รวมถึงช่วยดูดซับน้ำมันและน้ำตาล จึงช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด ลดการดูดซึมของน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย เป็นยาลดน้ำหนักชั้นดี
นอกจากไฟเบอร์แล้ว หากต้องการกระตุ้นการขับถ่าย กาแฟก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะคาเฟอีนในกาแฟจะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ ทำให้เมื่อเราดื่มกาแฟเข้าไปจึงรู้สึกอยากขับถ่ายในทันที รวมถึงมีน้ำตาลโอลิโกแซคคาไรด์ที่เป็นอาหารของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้ลำไส้มีสภาพแวดล้อมที่ดี ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ กาแฟจึงเป็นยาถ่ายชั้นดีเลยทีเดียว
อาหารแหล่งไฟเบอร์
ไฟเบอร์พบได้ในผักผลไม้ ธัญพืช หรืออาหารแปรรูปบางชนิด โดยปริมาณไฟเบอร์ที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำในรับประทานต่อวันอยู่ที่ 25-38 กรัม อาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น
- อะโวคาโด นอกจากจะมีไฟเบอร์สูง ยังมีโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ รวมถึงมีไขมันดี
- ข้าวกล้อง มีวิตามินบี แมงกานีส ไนอาซิน
- เบอร์รี่ต่างๆ มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- ข้าวโอ๊ต มีโปรตีน แมงกานีส ฟอสฟอรัส วิตามินอี วิตามินบี
- บล๊อคโคลี่ เบต้าแคโรทีนสูง
- กล้วย มีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2
- เมล็ดเจีย มีไฟเบอร์สูง และอุดมไปด้วยแมกนีเซียม, ฟอสฟอรัส และแคลเซียม